ผู้อ่าน จำนวนมากอยากทราบว่า “ถั่งเช่า” เป็นอย่างไร ซึ่งข้อมูลงานวิจัยที่ได้จากภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กทม.โดยศาสตราจารย์ ดร.มณจันทร์ เมฆธน หัวหน้าภาควิชาดังกล่าว ระบุว่า “ถั่งเช่า” เป็นสมุนไพรจีน พบบนที่สูงจากระดับน้ำทะเล 4,000 เมตรขึ้นไป ในฤดูหนาวจะเป็นตัวหนอนและฤดูร้อนจะเป็นหญ้า เกิดจากหนอนผีเสื้อแถบที่ราบสูงทิเบต จำศีลใต้ดินช่วงฤดูหนาว จากนั้นจะถูกสปอร์ของเห็ดราในสกุล OPHIOCORDYCEPS อาศัยเป็น “ปรสิต” และเติบโตสร้างเส้นใยออกมาทางส่วนหัวของตัวหนอนในฤดูร้อน เห็ดชนิดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า OPHIOCORDYCEPS SINENSIS และราชนิดดังกล่าวจะเกาะติดบนตัวด้วงจำพวกผีเสื้อ หนอน มอด ดักแด้ หรือด้วง ค้างคาว ซึ่งตัวหนอนอ่อนที่มีราเกาะอยู่ช่วงฤดูหนาวจะมุดลงไปอยู่ใต้ดินแล้วค่อยๆกลายเป็นเชื้อราชื่อว่า SELEROTEA และในช่วงนี้เองเปลือกนอกตัวหนอนจะเป็นตัวสมบูรณ์ขึ้น และ เมื่อถึงฤดูร้อน ราดังกล่าวจะค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นมีลักษณะคล้ายต้นหญ้า
พบมาก ในบริเวณภาคใต้ของมณฑลชิงไห่ เขตซองโควในทิเบต มณฑลกานซู และแถบเทือกเขาหิมาลัยในอินเดีย การเก็บเกี่ยวจะเก็บในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อขุดหญ้าหนอน หรือ “ถั่งเช่า” ขึ้นมาแล้ว ล้างน้ำให้สะอาดแล้วตากแห้งใช้เป็นยาสมุนไพรได้เลยสรรพคุณจากงานวิจัย “ถั่งเช่า” บำรุงไต ลดอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมไทรอยด์ และมะเร็งเต้านม แก้ภูมิแพ้ บำรุงเลือด ปรับสมดุลของเซลล์เม็ดเลือดแดง ลดปริมาณผมร่วง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้ผิวพรรณดี และสรรพคุณดีๆอีกเยอะ ใครอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม โทร.08–1900–7325, 09–0549–4699 ครับ.
ที่มาจาก : thairath.co.th “นายเกษตร”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!

ข้อมูลจากภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุว่า ประมาณ 1 ใน 3 หรือ 34.5-45.6% ของประชากรในประเทศ ไทยป่วยด้วยโรคข้อเข่าเสื่อม
และที่น่าตกใจมากขึ้นก็คือ อายุของผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ลดลงเรื่อยๆ จากเดิมที่มักพบในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันกลับพบในกลุ่มอายุ 45-50 ปี
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นในกลุ่มอายุที่น้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากภาวะอ้วน ทำให้ข้อเข่าแบกรับน้ำหนักเกิน หรือการนั่งยองๆ นั่งพับเพียบ รวมทั้งกรณีประสบอุบัติเหตุ หรือการเล่นกีฬาหักโหมเกินไป นอกจากนี้ อาจพบในกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงในกระดูกอ่อนจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การติดเชื้อในข้อ หรือโรคเกาต์ ที่มีส่วนทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อให้เสื่อมเร็วยิ่งขึ้นได้
โรคข้อเข่าเสื่อม (Arthritis) ชนิดที่พบบ่อยที่สุด เรียกว่า Osteoarthritis เป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องกับการเสื่อมของข้อเข่าบริเวณกระดูกอ่อนของผิวข้อเข่าด้านบน ผิวข้อเข่าด้านล่าง และบริเวณใต้ลูกสะบ้า สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยที่กระตุ้นและพัฒนาให้เกิดโรคนี้มีหลายปัจจัย เช่น ความชรา กรรมพันธุ์ ความอ้วน การบาดเจ็บของข้อเข่าจากการเล่นกีฬา การทำงาน หรือจากอุบัติเหตุ
อาการเริ่มแรกของโรคข้อเข่าเสื่อมในระยะแรกไม่เด่นชัด แต่อาจรู้สึกว่าข้อเข่าขัดๆ หลังจากที่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ซึ่งเมื่อปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาการจะเริ่มชัดเจนขึ้น ระยะเวลาดำเนินโรคอาจเป็นเดือน หรือเป็นปีก็ได้
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม
อาการสำคัญของโรคข้อเข่าเสื่อมที่พบบ่อย ได้แก่ อาการปวดเข่า ถือเป็นอาการสำคัญเริ่มแรก โดยจะเริ่มจากอาการปวดตึงทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเข่า หรือบริเวณน่อง เมื่อเป็นมากขึ้นจะปวดบริเวณเข่า โดยเฉพาะเวลาที่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ลุกนั่งหรือเดินขึ้นบันได
มีเสียงในข้อ เวลาที่เคลื่อนไหวนอกจากปวดแล้ว อาจมีเสียงในข้อดังขล็อกแขล็กๆ บางรายอาจมีอาการบวม หากข้อมีการอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานๆ ข้อเข่าจะเริ่มโก่งงอ อาจจะโก่งด้านนอกหรือโก่งด้านใน ทำให้ขาสั้นลงเดินลำบากและมีอาการปวดเวลาเดิน และสุดท้ายข้อเข่าจะเริ่มยึดติด ทำให้ไม่สามารถเหยียดหรืองอขาได้สุดเหมือนเดิม เนื่องจากมีการยึดติดภายในข้อ
และข้อควรระวังสำหรับคุณผู้หญิง คือ ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า!!!
การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมมีหลายวิธี คือ การรักษาทั่วไป เช่น การให้ยาแก้ปวด การทำกายภาพบำบัด รวมถึงการปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อม เช่น ยกของหนัก การนั่งพับเพียบ นั่งยองๆ การนั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ การใช้ส้วมชนิดนั่งยองๆ การนอนกับพื้นเป็นประจำ ที่อาจ จะทำให้เกิดอันตรายกับเข่าขณะลุกขึ้นหรือลงนอน หลีกเลี่ยงการขึ้นบันไดบ่อยๆ ควรจะนั่งบนเก้าอี้ไม่ควรนั่งบนพื้น หากมีน้ำหนักตัวมากเกินไป การลดน้ำหนักเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะลดอาการปวด และช่วยชะลอข้อเข่าเสื่อมได้
การรักษาโดยการใช้ยา หากการรักษาทั่วไปไม่เป็นผล เพราะอาการข้อเข่าเสื่อมรุนแรงมากขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา ซึ่งยาที่ใช้มีให้เลือกหลากหลาย เช่น ยาแก้ปวด เป็นยาลดอาการปวดแต่ไม่ได้แก้อาการอักเสบ พอหมดฤทธิ์ยาก็ปวดอีก ยาแก้อักเสบ โดยเฉพาะยาในกลุ่มสเตียรอยด์ (steroid) สมัยก่อนนิยมใช้กันมากทั้งชนิดรับประทานและชนิดฉีดเข้าข้อ แต่ปัจจุบันความนิยมลดลงเนื่องจากผลข้างเคียงมีมาก โดยเฉพาะยาที่ฉีดเข้าข้อจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยากลุ่มนี้นิยมใช้กันมากขึ้น แต่ก็มีผลในเรื่องของโรคแทรกซ้อน นอกจากยาแล้ว ยังมีการรักษาด้วยการใช้น้ำหล่อเลี้ยงข้อชนิดเทียม เนื่องจากโรคข้อเสื่อมจะมีน้ำหล่อเลี้ยงข้อน้อยทำให้มีการเสียดสีของข้อ การฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมเข้าไปในเข่า 3-5 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์ จะช่วยลดการเสียดสีของข้อ ลดอาการปวด วิธีนี้ใช้ได้เฉพาะข้อที่เสื่อมไม่มาก
การรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งมีทั้งการผ่าตัดโดยการส่องกล้อง (arthroscope) เหมาะสำหรับข้อที่เสื่อมไม่มาก เป็นการผ่าตัดโดยใช้กล้องเข้าไปเอาสิ่งสกปรกที่เกิดจากการสึกหรอของข้อออกมา การผ่าตัดแก้ความโก่งงอของเข่า วิธีนี้ต้องตัดกระดูกบางส่วนออกทำให้ใช้เวลานานกว่าจะใช้งานได้ ส่วนใหญ่แล้วแพทย์ไม่นิยมทำ การผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียมเป็นการใส่ข้อเข่าเทียมเข้าแทนข้อที่เสื่อม ซึ่งผลการผ่าตัดทำให้หายปวด ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ดีขึ้น แต่มีราคาสูง และนั่นหมายถึงข้อเข่าเดิมไม่สามารถใช้การได้แล้ว
นอกจากนี้ยังมีวิธีรักษาข้อเข่าเสื่อมอีกวิธีหนึ่งที่ทันสมัยกว่า 3 วิธีที่กล่าวมาข้างต้น นั่นก็คือ การใช้สเต็มเซลล์จากไขมันของตัวผู้ป่วยเองเข้าไปช่วยให้กระดูกและข้อเข่าต่างๆแข็งแรงขึ้น บรรเทาอาการปวด ลดอาการแทรกซ้อน ชะลอการเสื่อมของข้อ และป้องกันความพิการ
วิธีการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ ศัลยแพทย์จะดูดไขมันของผู้ป่วยจากบริเวณที่มีไขมันมากที่สุดในร่างกาย เช่น หน้าท้อง ก้น ต้นขา จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการคัดแยกในห้องปฏิบัติการอย่างระมัดระวัง โดยใช้เอนไซม์ Collagenase ช่วยสกัดเอาสเต็มเซลล์ออกจากไขมันด้วยการเขย่าในเครื่องที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส แล้วผสมกับสารละลายในพลาสมาเพื่อนิวทรีไลซ์ (Neutralize) ให้เกิดความสมดุลของเซลล์ จากนั้นจึงนำสเต็มเซลล์ที่ได้ฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่าของผู้ป่วยโดยศัลยแพทย์กระดูกและข้อ (Orthopedist) สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามไปได้ที่ 0-2714-4471 ในต่างประเทศพบว่าอาการเข่าเสื่อมรักษาด้วยวิธีใช้สเต็มเซลล์จากไขมันของตัวเองนี้มีความปลอดภัยสูง สามารถรักษาอาการของข้อเข่าเสื่อมได้.
ที่มาจาก : thairath.co.th





สมุนไพร ที่ใช้ลดความดันโลหิตสูง มีหลาก หลายสูตร อยู่ที่ผู้นำไปปฏิบัติได้ผลดีกับสูตรไหน สามารถใช้ได้ต่อเนื่อง ไม่อันตรายอะไร หลายคนโทรศัพท์แจ้งผลให้ทราบ ทำให้มีกำลังใจและมีสูตรใหม่แนะนำอีกคือ ให้เอาต้น “โคกกระออม” มีขึ้นตามที่รกร้างทั่วไปทั้งต้นรวมรากแบบสดครึ่งกิโลกรัมต้มกับน้ำ 1 ลิตรจนเดือด 10 นาที ดื่มต่างน้ำทุกครั้งที่หิวน้ำ ต้มกินจนยาจืดแล้วเปลี่ยนตัวยาใหม่ เมื่อความดันโลหิตลดลงแล้ว หยุดกินหรือกินบ้างหยุดบ้าง 2–5 วันครั้ง
โคกกระออม BALLOON VINE, HEART-PEA, CARDIOSPERMUM HALICA-CABUM LINN. อยู่ในวงศ์ SAPINDACEAE เป็นไม้เลื้อยล้มลุก ดอกสีเหลือง “ผล” สีเขียวพองลม เป็นสัน 3 สัน เมล็ดกลม สีดำ ใบสด ต้มน้ำดื่มแก้หืด เถาสด ต้มดื่มแก้ไอ ดอกสดขับโลหิต ผลดิบ ดับพิษไฟลวก น้ำคั้นรากสด หยอดตาแก้ตาต้อ สารสกัดจากใบ ทดลองกับหนูขาว สามารถลดความดันโลหิตและการอักเสบได้
ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” พิมพ์จำนวนจำกัดหมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยก ลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร แห้วหมูแคปซูล ลดความดันโลหิต, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร, กระเทียมโทนแคปซูล สูตรแก้หอบหืด แก้ไอจากหอบหืด แก้ถุงลมโป่งพอง, ว่านชักมดลูกแคปซูล แก้น้ำคาวปลา ดับกลิ่นเหม็น แก้ต่อมลูกหมากอักเสบ ไส้เลื่อนในบุรุษ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ช่วยขยายหลอด เลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจ, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน บำรุงไต, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, โทนเนอร์เช็ดหน้า ขจัดสิ่งตกค้างจากรูขุมขน, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่า รักแร้หายคล้ำ, ผงยาโบราณ ทาแก้สินแผ่นหลังตุ่ม หนองใส และอื่นๆ โทร.0–2275–2692 ครับ.
ที่มาจาก : ไทยรัฐ “นายเกษตร”
ชื่ออื่น ๆ : มะขามป้อมดิน (ภาคเหนือ), หมากไข่หลัง (เลย), ไฟเดือนห้า (ชลบุรี), เตียงจูเช่า (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus urinaria Linn.
วงศ์ : EUPHORBIACEAE
ลักษณะทั่วไป :
  • ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลักษณะของลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีความสูงประมาณ 4-16 นิ้ว ลักษณะของลำต้นเรียบไม่มีขน ข้อ และกิ่งก้านเป็นสีแดง
  • ใบ : ใบออกเป็นใบรวม มีใบย่อยเรียงสลับกันเป็น 2 แถว ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรี ปลายใบแหลมสั้น หรือมน โคนใบกลมมน หลังใบมีเป็นเขียว ส่วนใต้ท้องใบเป็นสีเขียวเทา ใบมีขนาดเล็ก กว้างประมาณ 2-5 มม. ยาวประมาณ 5-15 มม. ก้านใบสั้น
  • ดอก : ดอกมีขนาดเล็ก เป็นสีเหลืองอมน้ำตาล ดอกเพศผู้และเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละดอก
  • ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมแบน มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 มม. ผิวเปลือกนอกขรุขระ ผลอ่อนเป็น สีเขียว เมื่อแก่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ข้างในผลเป็นรูปสามเหลี่ยม สีน้ำตาล ผลออกเรียงเป็นแถวอยู่ใต้ก้านใบ
การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่พบขึ้นเองตามสวน หรือที่รกร้างขึ้นได้ดีในเกือบทุกประเภท ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด
ส่วนที่ใช้ : ทั้งลำต้น
สรรพคุณ :
  • ลำต้น ใช้ลำต้นสดประมาณ 30-60 กรัม (แห้ง 15-30 กรัม) นำมาต้มหรือคั้นเอาน้ำกิน เป็นยา แก้บิดถ่ายเป็นมูกเลือด ตับอักเสบ แก้ไข้ นิ่ว ขับปัสสาวะ ลำไส้อักเสบ ไตอักเสบบวมน้ำ โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ต้อตาและเป็นโรคตาแดง หรือใช้ภายนอกในการตำพอก แผลที่บวมอักเสบ บริเวณริมปาก และศีรษะ เป็นต้น
ตำรับยา :
  1. เป็นไตอักเสบโดยเฉียบพลัน ให้ใช้ลำต้นแห้ง กับจั่วจิเช่า ในปริมาณอย่างละ 10 กรัม และเจียะอุ้ยแห้ง จีจูเช่าแห้ง ใช้อย่างละ 15 กรัม นำมาต้มรวมกันเอาน้ำกิน
  2. เด็กที่เป็นโรคขาดสารอาหาร ตาฟาง ให้ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 15-20 กรัม นำมาตุ๋น ผสมกับตับหมู และตับไก่ให้รับประทาน
  3. โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นนิ่วให้ใช้ลำต้นสด ผักกาดน้ำสด ต้นผีเสื้อน้ำสด ในปริมาณอย่างละ30 กรัม กูดงอแงสด ประมาณ 15 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินตำรับยา (สัตว์) : 1. สัตว์เลี้ยงเป็นโรคบิด ให้ใช้ต้นสดประมาณ 250-500 กรัม นำมาตำคั้นเอาน้ำหรือใช้ผสมกับอาหารให้กิน
  4. ลูกหมูเป็นบิด ถ่ายออกเป็นมูกเลือด ให้ใช้ลำต้นสดประมาณ 30 กรัม หญ้ากระต่ายจันทร์สด ประมาณ 12 กรัม นำมารวมกันตำคั้นเอาน้ำให้กินวันละ 2 ครั้ง
  5. วัว ตาเป็นต้อกระจก ตาฟาง ให้ใช้ลำต้นสด เถาสังวาลพระอินทร์สด และดอกเก๊กฮวย ในปริมาณอย่างละ 250 กรัม นำมาต้มเอาน้ำให้กิน 

เอสโตรเจน ( Estrogen ) ทำให้ผิวพรรณสวยงาม
คุณผู้หญิงเคยสังเกตผิวของตัวเองในระหว่างก่อนและหลังการมีประจำเดือนหรือไม่คะ ส่วนตัวแล้ว สังเกตว่าตัวเองก่อนมีประจำเดือนผิวแห้งไม่เต่งตึง ไม่สดชื่น มีริ้วรอยง่ายจัง ถึงจะกินอาหารเสริมอะไรก็ไม่ค่อยเกิดผลเท่าไรนัก และจะมักเป็นสิวช่วง ก่อนมีประจำเดือน พอเป็นสิวก็กว่าจะรักษาหายมีรอยด่างดำ เป็นหลุมบ้าง เป็นปัญหา แต่ เมื่อหลังมีประจำเดือนแล้วผิวพรรณ ดูเรียบเนียนผิวเด้ง เต่งตึงนะคะ สิวที่เป็นก็หายไวขึ้น ผิวหน้าโดยรวมเนียนกระชับ หน้าก็ไม่มัน ผิวหน้าดูเด็กอ่ะดูดี ได้อย่างใจ เลยมานั่งคิดๆสังเกตตัวเองว่าทำไมเราถึงผิวพรรณไม่คงที่ กำลังคิดว่าอยากให้ตัวเองผิวพรรณ ได้อย่างใจเหมือนตอนช่วงหลังมีประจำเดือนอยู่ได้ตลอด admin เลยไปรองค้นข้อมูลมาค่ะว่าทำไม ช่วงการมีประจำเดือน ก่อนและหลังเรามีอะไรที่ทำให้เรามีผิวพรรณที่ดี อะไรที่ให้ผิวพรรณเราไม่ดี แล้วเราจะได้รู้วิธีการว่าทำอย่างไรให้เรามีผิวพรรณ สวยกระชับได้อย่างใจแบบช่วงหลังการมีประจำเดือน ช่วยให้เราสวยได้ ตลอดค่ะ

มาดูช่วงประจำเดือนของเราและปัญหาของผิวกันค่ะ
ลองสังเกตผิวของตัวเองให้ดี ในรอบ 1 เดือน จะมีช่วงที่ผิวดี สวยใสไม่มีปัญหา กับช่วงที่ผิวแย่ ปัญหารุมเร้า!! เช่นเป็นสิวหน้ามัน ผิวแห้ง ผิวคล้ำหมอง คุณผู้หญิง รองทำ เป็นปฎิทินประจำเดือนดูค่ะ เพื่อเป็นการดูเป็นปฎิทินตรวจเช็คสภาพผิว แล้วลองจดลักษณะของผิวเราในแต่ละช่วงของเดือนดูค่ะ เพียงแค่นี้ คุณผู้หญิงก็จะทราบสภาพของผิวคร่าวๆ ว่าในแต่ละเดือนผิวจะเปลี่ยนแปลงยังไง ช่วงไหนที่สุขภาพผิวดี ช่วงไหนที่สุขภาพผิวแย่ เพื่อการใช้ Skin Care หรือเครื่องสำอางเพื่่อดูแลให้เหมาะสม ก็เป็นการช่วยรักษาผิวให้สวยได้เสมอ และเทคนิคการดูแลบำรุงผิวให้ได้ประโยชน์สูงสุดด้วยค่ะ ลองมาดู รอบของประจำเดือนของผู้หญิงเรา จะแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ก็คือ
  • ช่วงที่มีเลือดประจำเดือน
  • ช่วงไข่สุก
  • ช่วงไข่ตก และ
  • ช่วงก่อนมีประจำเดือน
ช่วงไหนของผู้หญิงที่มี การเพิ่มและลดลงของเอสโตรเจน
ในแต่ละช่วงระยะของประจำเดือน มีฮอร์โมนในร่างกายของเราที่ปรับเปลี่ยนไปในรอบระยะต่างๆ ก็จะมีผลกระทบกับผิวของเราด้วยเช่นกัน โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงสุขภาพผิวดังนี้
  • ช่วงเวลาของผิวสุขภาพดี
ช่วงเวลาหลังจากการมีประจำ เดือนไปแล้วและกำลังจะเข้าสู่ช่วงไข่สุก จะเป็นช่วงที่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ผิวจะมีความแข็งแรงมากที่สุด ผิวเด้ง ผิวใส ผิวไม่แห้งกร้าน มีน้ำมีนวล
ลองสังเกตกันดูนะคะ ช่วง หลังจากที่มีประจำเดือนไปแล้ว น่าจะประมาณ 1-3 อาทิตย์ แล้วแต่คนนะคะ ผิวจะชุ่มชื้นและเปล่งปลั่งกว่าช่วงอื่นๆ ดังนั้นในช่วงที่ผิวมีความแข็งแรงนี้ ใครที่อยากจะทดลองเครื่องสำอางใหม่ๆ หรือ การใช้เครื่องสำอางที่ช่วยให้ผิวขาวใสก็จะให้ผลที่ชัดเจนมากที่สุดค่ะ อาจจะเร่งอัดอาหารเสริมเพื่อบำรุงเร่งผิวขาวในช่วงนี้จะเห็นผลได้เร็วและชัดเจนมากๆ แต่ ฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้จะลดต่ำลงไปเมื่อเข้าสู่ช่วงก่อนมีประจำเดือน
  • ช่วงเวลาของสุขภาพผิวเริ่มจะอ่อนแอลง
หลังจากไข่ตกและกำลังเข้าสู่ ช่วงก่อนมีประจำเดือน (ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนการมีประจำเดือน) จะเป็นช่วงที่ฮอร์โมน โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้ผิวของเราหลั่งน้ำมันธรรมชาติ ออกมามากขึ้นกว่าปกติ และ ช่วงใกล้ๆ มีประจำเดือนนี่เองที่ทำให้ผิวของเราอ่อนแอลง ทำให้ผิวเหนอะหนะ สิวขึ้นได้ง่ายๆ รวมถึง สิวฮอร์โมน รวม ไปถึงปัญหาที่สำคัญ ศัตรูตัวร้ายของผิวขาวสวย ซึ่งก็คือ กระ ฝ้า สร้างจุดด่างดำรักษายาก ดังนั้น ช่วงก่อนมีประจำเดือนนี้ จะต้องใส่ใจป้องกันเรื่องการโดนรังสียูวีให้มากเป็นพิเศษค่ะ
นอกจากนั้นช่วงนี้จะเป็นช่วง ที่ผิวแพ้ได้ง่าย ควรจะเลี่ยงจากทดลองเครื่องสำอางที่ไม่คุ้นเคย รวมไปถึงการใช้เครื่องสำอางเพื่อการขัดผิวต่างๆ ที่จะเป็นภาระกับผิวของเราในช่วงนี้ค่ะ ช่วงนี้ admin จะมีผิวที่อ่อนแอ ง่ายจริงๆ ค่ะ จะมีการ คันระคายเคืองที่ผิวง่ายมากๆ ส้นเท้าก็แห้งแตก
ปัญหาก่อนมีประจำเดือนที่ไม่ควรละเลย กับอาการ PMS : นอกจากนั้นในช่วงก่อนมีประจำเดือน ผู้หญิงทำงานถึง 70-80% จะมีอาการที่เรียกกันว่า PMS (Premenstrual syndrome) เช่น ปวดหัว หงุดหงิด ง่วงนอน หรือ รู้สึกเมื่อยล้า ไม่มีสมาธิในการทำงาน ดังนั้นนอกจากเรื่องการดูแลผิวแล้ว ยังต้องใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกาย และควรจะหาเวลาเพื่อพักผ่อนให้เพียงพอ
ทราบกันแล้วนะว่า ช่วงของการมีประจำเดือน ของผู้หญิงมีผลกับการเพิ่มลด ของ เอสโตรเจน ซึ่งเจ้า เอสโตรเจน มีผลในการทำให้เรามีผิวพรรณที่ดี
เอสโตรเจนหาได้จากที่ไหน
ฮอร์โมนเอสโตรเจน ได้นำมาสังเคราะห์ใช้เป็นยา ยาเม็ดคุมกำเนิด โดยยาเอสโตรเจนมีสรรพคุณ ดังนี้
  • ใช้เป็นยาคุมกำเนิด
  • ใช้รักษาสภาวะพร่องฮอร์โมนเอสโตรเจนในวัยหมดประจำเดือน
  • ใช้รักษาสภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร
  • ใช้รักษาการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อในอวัยวะเพศของสตรี
  • ใช้ป้องกันกระดูกพรุนในเพศหญิง
เอสโตรเจนออกฤทธิ์อย่างไร
ยาเอสโตรเจน เพิ่มการสังเคราะห์ทางพันธุกรรม (DNA,RNA) และกระตุ้นการสร้างเนื้อ เยื่อต่างๆ ในด้านการคุมกำเนิดจะทำให้ท่อนำไข่หดเกร็งจนทำให้ไข่เดินทางไปสู่มดลูกได้ยาก เอสโตรเจนสามารถดูดซึมได้ดีจากระบบทางเดินอาหาร และเปลี่ยนรูปภายในตับ ร่างกายสามารถขับเอสโตรเจนส่วนเกินออกโดยทางปัสสาวะและทางอุจจาระ
การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดต่างๆรวมทั้งยาเอสโตรเจน จะมีวิธีรับประทานที่แตก ต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของแพทย์ ขนาด และปริมาณฮอร์โมนที่ประกอบอยู่ในยา ปกติสามารถรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ที่สำคัญต้องได้รับคำแนะนำและวิธีรับประ ทานที่ถูกต้องจากแพทย์ หรือจากเภสัชกร เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการคุมกำเนิด ผู้บริโภคควรอ่านข้อแนะนำ และรายละเอียดปลีกย่อยได้จากเอกสารกำกับยา การรับประทานยาเอสโตรเจนผิดวิธี หรือผิดขนาด นอกจากจะไม่ได้รับประสิทธิผลของการคุมกำเนิด หรือของการรักษาแล้ว ยังอาจได้รับผลอันไม่พึงประสงค์ หรือผลข้างเคียงติดตามมา
สำหรับเพศชาย
ใช้รักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระยะลุกลาม และระยะแพร่กระจาย โดยขนาดรับ ประทานสูงสุดไม่เกิน 2.5 มิลลิกรัม/ครั้ง วันละไม่เกิน 3ครั้ง
สำหรับเพศหญิง
ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ขนาดรับประทานสูงสุดไม่เกิน 0.625 มิลลิกรัม/วัน โดยรับประทาน 3 สัปดาห์ หยุด 1 สัปดาห์
รักษาการขาดประจำเดือน ขนาดรับประทานสูงสุดไม่เกิน 1.25 มิลลิกรัม/ครั้ง ไม่เกินวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 21 วัน หากรับประทานแล้วเกิดภาวะเลือดไหลชึม (Bleeding Per sis) ให้เพิ่มขนาดการรับประทานเป็น 2.5 มิลลิกรัม/ครั้ง วันละ 4 ครั้ง
รักษาอาการร้อนวูบวาบในวัยที่ใกล้หมดและใน วัยหมดประจำเดือน (Vasomo tor Symtoms) ขนาดรับประทานสูงสุดไม่เกิน 1.25 มิลลิกรัม/วัน
*****หมายเหตุ: ขนาดการใช้เอสโตรเจนในการรักษา ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น และเอสโตรเจนเป็นยาอันตราย มีผลข้างเคียงได้หลายอย่าง ดังจะกล่าวในหัวข้อ ผลไม่พึงประสงค์ และอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ ดังนั้น ห้ามซื้อยาใช้เอง
เอสโตรเจนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นๆ ดังนี้
การกินยาเอสโตรเจนร่วมกับยาต้านเชื้อวัณโรคบางชนิด จะไปลดปริมาณความเข้มข้นของเอสโตรเจนในกระแสเลือด อาจทำให้ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดด้อยประสิทธิภาพลง ยาต้านเชื้อวัณโรคดังกล่าว เช่น ยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin)
การกินยาเอสโตรเจนร่วมกับยาสเตรอยด์ อาจทำให้พิษของยาสเตรอยด์มีมากขึ้น ยา สเตรอยด์ดังกล่าว เช่น ยาไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone)
การกินยาเอสโตรเจนร่วมกับวิตามินบางชนิด จะไปลดการทำงานของยาเอสโตรเจนในกระแสเลือด และทำให้ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดด้อยประสิทธิภาพลง วิตามินดังกล่าว เช่น วิตามินซี
การใช้ เอสโตรเจน สังเคราะห์ที่หาซื้อทั่วไปอาจจะมีผลทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ จึงควรได้รับ เอสโตรเจน จากธรรมชาติเท่านั้น
ผลข้างเคียงจากยาเอสโตรเจน
ผลไม่พึงประสงค์ หรือผลข้างเคียงจากยาเอสโตรเจน คือ มีอาการทางระบบสืบพันธุ์สตรี เช่น ประจำเดือนมากระปริดกระปรอย ประจำเดือนขาดหรือไม่มีประจำเดือน และ/หรือมี อาเจียน ท้องเสีย วิตกกังวล พบก้อนเนื้อบริเวณเต้านม และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม ซึมเศร้า เวียนศีรษะ อาจพบความดันโลหิตสูง ร่างกายอาจติดเชื้อรากลุ่มแคนดิดา (Candida) ได้ง่ายไขมันในเลือดสูง เช่น ไตรกลีเซไรด์ (Triglyceride) แอลดีแอล (LDL) และภาวะกล้าม เนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial Infarction)
Estrogen
เอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการดูแลเรื่องความสวยงามของมนุษย์ดูแล ผิว ผม ขน ระบบเลือด และ ยังเป็น agent (ตัวประสาน) ทำให้ vitamin D รวมเข้ากับ calcium เพื่อสร้างกระดู
Estrogen จำเป็นสำหรับทั้งชาย และ หญิง แต่คนชอบเรียก Estrogen ว่าฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผู้ชายก็ต้องการครับ
การขาด Estrogen จะทำให้ ระบบรอบเดือนผิดปกติ หรือ บางคนก็ปวดท้องเวลามีรอบเดือน ผิวหนังเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง รวมทั้งมีไรฝุ่นด้วย ไรฝุ่นทำให้ หน้าเป็นสิว ผื่น ภูมิแพ้ จาม คัดจมูก Estrogen เป็นตัวฆ่าไรฝุ่น ใครที่มี Estrogen สูง ไรฝุ่นจะตายหมด
คนที่ขาด Estrogen คือ
1. คนที่ทำงานเร่งด่วน มีภาระ ต้อง active อยู่เสมอ
ร่างกายจะสร้างฮอร์โมน Testoterone ขึ้นมาแทน Estrogen
ทำให้กล้าตัดสินใจ แกร่ง เด็ดเดี่ยว แต่ขณะเดียวกัน ก็หมดความงาม
มีกลิ่นตัว มีไรฝุ่น ผมร่วง ผิวกร้าน และ กระดูกผุ
จะเห็นได้ว่าผู้ชายที่เป็นแมนแท้ ๆ ไม่สนใจความงาม
ก็จะขาด Estrogen ไปด้วย
2. อายุที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายผลิต Estrogen น้อยลง
สำหรับหญิงวัยหมดประจำเดือน ก็จะเจอปัญหานี้
ร่างกายก็จะขาด Estrogen ไปโดยปริยาย ผมร่วง หัวล้าน
วิธีเสริม Estrogen มีหลายวิธี
1. ทานน้ำมะม่วงสุก, น้ำมะม่วงกวน, น้ำมะพร้าวอ่อน (ห้ามทานเนื้อ), กุ๊ยช่าย
2. ชะโลมศรีษะ หรือ ตัว ด้วย โลชั่นผลไม้ โลชั่นมะเฟือง หรือ น้ำมะพร้าวอ่อน
3. ทานอาหารเสริม เช่น มุกสกัด จะให้ผลเร็วที่สุด แต่ก็ราคาไม่ใช่ถูก

โรคไต และ วิธีบำรุงไต อาหารบำรุงไต
เกิดมาจากระบบดูดซึมไม่ดี ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแล้วมันเข้าตัวไม่ได้ จะถูกส่งไปให้ไตขับทิ้ง ทำให้ไตทำงานหนักมากกว่าปกติ เป็นที่คาดการณ์กันว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีคนต้องรอล้างไตอีก 9 ล้านคน
ไต มีหน้าทีกรองเลือดว่าเม็ดไหนหมดอายุแล้ว

ก็กรองออกไป เม็ดเลือดที่ยังไม่หมดอายุก็ส่งคืนกลับไป และอื่น ๆ อีกมาก
  • ลำไส้เล็กต้องต้องดูดซึมกลุ่มสารอาหาร ที่จะไปสร้างกรดอะมิโนเพื่อไปสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย เช่น เซลล์กล้ามเนื้น เซลล์ประสาท เซลล์กระดูก ได้แก่ โปรตีน วิตามิน ซี,วิตามิน บี1,วิตามิน บี3,วิตามิน บี6
  • ลำไส้ใหญ่ต้องดูดซึมกลุ่มสารอาหาร ที่จะไปสร้างเม็ดเลือดเพื่อไปสร้างภูมิคุ้มกัน ได้ วิตามิน เอ,วิตามิน ซี,วิตามิน อี
ไตทำงานหนัก โดยไม่จำเป็น คือ
  • กินอาหารรสจัด
  • กินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ
  • กินเนื้อสัตว์ แล้วไม่มีวิตามิน ซี,วิตามิน บี1,วิตามิน บี3,วิตามิน บี6 (ซึ่งหาได้จากน้ำกระชาย) มาช่วยเปลี่ยนโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโนถึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย
  • เกิดจากความกล้ว ขี้ตกใจ ชอบข่มชู่คนอื่น ถ้าเป็นอย่างนี้ร่างกายจะผลิตไขมันขึ้นมาเอง ให้เป็นไขมันฝ่ายร้าย ถ้าอารมณ์ดี ไม่เครียด มีจิตเมตตาก็จะเป็นไขมันฝ่ายดี
  • (ถ้าดูแลปอดดี ไตก็จะแข็งแรง เมื่อไตแข็งแรง กระดูกก็จะแข็งแรงด้วย)
วิธีดูแลไต
  • รู้ว่าเป็นโรคไตแล้ว ควรให้หมอรักษาดีที่สุด
  • งดอาหารผัดน้ำมัน
  • ล้างลำไส้ หรือระบบดูดซึม เป็นประจำด้วยสูตร
  • มะละกอดิบต้มน้ำ เอาน้ำมาชงชา (ดื่มกิน)
  • โยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว (ดื่มกิน)
  • ใช้เห็ดสามอย่างขึ้นไป นำมาปรุงอาหาร (ห้ามผัดน้ำมัน)
อาหารบำรุงไต
น้ำกระชาย เม็ดบัว เห็นหูหนูดำ ลูกเกด องุ่นดำ ถั่วดำ งาดำ ลูกแปะก้วย ผลไม้ชื่อลูกไข่เน่า กล้วยตาก ลูกสำรอง เฉาก๊วย แก้วมังกร ถั่วห้าสี ผักดอก ผลไม้ดอง
สูตรละลายนิ่วในไต
  • กินแกนสับปะรดวันละ 3 แกน หรือจะปั่นกิน คู่กับใบโหระพา ก็ได้ กินจนหายปวดหลัง (สังเกตตัวเอง)
  • เหล้าขาว 1 ก๊ง เติมมะนาว 1 ลูก กินก่อนนอน 10 ถึง 20 วัน แล้วหยุดกิน
สูตรล้างไต
  • รากหมาก รากมะพร้าว รากตาล ลูกใต้ใบ ต้มรวมกันแล้วเอาน้ำมาดื่ม เพื่อล้างไต
  • ข่า ตะไคร์ ใบมะกรูด ใบมะนาว กระชาย หอมแดง ใบสะระแหน่ อย่างละ 1 กำมือ ใส้ในหม้อดิน เติมน้ำให้ท่วมต้มให้เดือด แล้วยกลง รอให้เย็น กินให้หมด ภายใน 1 วัน

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์

สาระน่ารู้อื่นๆ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Popular Posts